วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิตามินซีกับสิว

วิตามินซีกับสิว



วิตามินตัวนี้เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักกันดี วิตามินซีจะมีมากในผัก ผลไม้ แต่เสียดายว่าวิตามินตัวนี้จะถูกทำลายเมื่อถูกความร้อน เช่นเมื่อเราผัดผักหรือเอาผลไม้มาแปรรูป และวิตามินตัวนี้มีสิ่งมีชีวิตไม่กี่ประเถทที่ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีขึ้นมาได้เองซึ่งมนุษย์เราก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ว่า

อาหารเสริมตัวนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องสิวโดยตรงแต่ก็สามารถช่วยได้เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยเรื่องผิวพรรณของเรา และประโยชน์เรื่องภูมิต้านทานโรคต่างๆและเชื้อโรค ประโยชน์ของอาหารเสริมวิตามินซีสำหรับคนเป็นสิวคือ ช่วยให้รอยดำจางเร็วขึ้นและช่วยให้ผิวที่เป็นสิวเนียน เรียบขึ้น

หน้าที่ต่าง ๆ ของวิตามินซีมีดังนี้

- รักษาบาดแผล
- รักษาระดับคอลลาเจน (อันเป็นสิ่งสำคัญของความแข็งแรงของหลอดเลือด, เหงือก และความยืดหยุ่นของผิว
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุเหล็ก
- มีสำคัญในการช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และต่อต้านการติดเชื้อต่างๆ
- ช่วยขับสารพิษและสารเคมีที่เป็นพิษออกจากร่างกายทางการขับถ่าย
- เป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนที่อยู่ในไต ที่ทำให้ร่างกายสามารถอดทนต่อความเครียด

วิตามินซีนั้นเป็นหนึ่งในวิตามินหลาย ๆ ตัวที่รู้จักกันแพร่หลาย เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อร่างกายในการเผาผลาญ รวมถึงการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ วิตามินซีช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำบนผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่ามีรอยดำจากสิว จากการศึกษาต่าง ๆ พบว่าวิตามินซีช่วยลดการสูญเสียคอลลาเจน และยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งช่วยป้องกันริ้วรอย เพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อด้วย

วิตามินซีนั้นมีประโยชน์ในการรักษาบาดแผลเนื่องจากวิตามินซีนั้นทำหน้าที่สร้างคอลลาเจน วิตามินซียังช่วยสร้างความต้านทานและความยืดหยุ่นในกับคอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งทำให้เนื้อเยื่อใหม่สามารถยืดได้โดยไม่ฉีกขาด ดังนั้นความแข็งแรงและยืดหยุ่นของผิวนั้นเป็นปัจจัยสำคัญของการรักษาแผล

วิตามินซีนั้นรู้จักกันดีในแง่ของการป้องกันโรคลักปิดลักเปิดและการต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีช่วยป้องกันการถูกทำลายของเนื้อเยื่อในเซลล์และของเหลวในร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญในการป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ในลำไส้นั้นวิตามินซีจะปกป้องธาตุเหล็กไม่ให้เกิดปฎิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น

ขนาดรับประทาน

ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป)

ตามคำแนะนำจาก U.S. Food and Nutrition Board of the institute of Medicine
ปริมาณที่ควรใช้สำหรับผู้ชายอายุ 18 ปีขึ้นไปคือ 90 มิลลิกรัมต่อวัน
สำหรับผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไป ควรรับประทานที่ปริมาณ 75 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปและอยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ ควรรับที่ 85 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปและอยู่ระหว่างการให้นมบุตร ควรรับที่ 120 มิลลิกรัมต่อวัน
ผู้ที่สูบบุหรี่ ซึ่งควรได้รับเพิ่มขึ้นอีก 35 มิลลิกรัมต่อวัน
*** ปริมาณมากที่สุดที่สามารถรับประทานได้คือไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้ชายและผู้หญิงอายุเกิน 18 ปีขึ้นไป (รวมถึงหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร)

ปริมาณการใช้สำหรับเด็ก (อายุต่ำกว่า 18 ปี)

เด็กอายุ 9-13 ปี ใช้ที่ปริมาณ 45 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรเกิน 1200 มก.ต่อวัน
เด็กชายอายุ 14-18 ปี ใช้ที่ปริมาณ 75 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรเกิน 1000 มก.ต่อวัน
เด็กหญิงอายุ 14-18 ปี ใช้ที่ปริมาณ 65 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กหญิงอายุ 14-18 ปี อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ใช้ที่ปริมาณ 80 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กหญิงอายุ 14-18 ปี อยู่ในช่วงให้นมบุตร ใช้ที่ปริมาณ 115 มิลลิกรัมต่อวัน

ผลข้างเคียงและคำเตือน

วิตามินซีนั้นปกติแล้วจะปลอดภัยหากได้จากอาหาร อาหารเสริมวิตามินซีนั้นก็ปลอดภัยในปริมาณที่เหมาะสมกับแต่ละคน แม้ว่าผลข้างเคียงจะมีรายงานว่าเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน จุกเสียด ช่องท้องแข็ง และปวดหัว ฟันกร่อนก็อาจเกิดขึ้นได้ในรายที่เคี้ยววิตามินซีเม็ดเป็นประจำ

ปริมาณการใช้วิตามินซีสูง อาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้หลายประการ เช่น นิ่วในไต, ท้องร่วงรุนแรง คลื่นไส้ กระเพราะอาหารอักเสบ หน้าแดง เป็นลม วิงเวียน และอ่อนเพลีย การใช้ปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงตกตะกอน (เซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย) และผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคเก๊าท์ กรวยไตอักเสบ หรืออาการกำเริบในเวลากลางคืนอันมีผลมาจากโรคไต และทางเดินปัสสาวะ

การตั้งครรภ์ และการให้นมบุตร

การรับวิตามินซีจากอาหารในขณะตั้งครรภ์นั้นเป็นสิ่งที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผลที่แน่ชัดว่าการรับประทานวิตามินซีเสริมในปริมาณที่มากกว่าที่ DRI แนะนำนั้นปลอดภัยหรือมีประโยชน์หรือไม่ มีรายงานของการเป็นลักปิดลักเปิดจากการรับประทานในปริมาณสูงมาเป็นเวลานาน ๆ เช่นในเด็กทารกที่เกิดจากแม่ที่รับประทานวิตามินซีสูงมากเป็นพิเศษในขณะตั้งครรภ์ ข้อมูลอันน้อยนิดนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าการเสริมวิตามินซีอย่างเดียว หรือร่วมกับอาหารเสริมอื่น ๆ นั้นมีประโยชน์ขณะตั้งครรภ์ การคลอดก่อนกำหนดอาจมีความเป็นไปได้สูงขึ้น

วิตามินซีในนมแม่นั้นถือได้ว่าปลอดภัย และมีผลวิจัยว่า วิตามินซีที่ได้จากนมแม่นั้นจะลดความเสี่ยงในการเป็นภูมิแพ้ของเด็กได้ ยังไม่มีผลที่แน่ชัดว่าการรับประทานวิตามินซีเสริมในปริมาณที่มากกว่าที่ DRI แนะนำนั้นปลอดภัยหรือมีประโยชน์หรือไม่

ที่มา

- healthandgoodness.com
- findarticles.com
- nlm.nih.gov
เรียบเรียงและแปลโดย Acnethai.com

การล้างตับ(liver flush)

บางคนอาจจะเคยได้ยิน หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยิน วิธีการนี้คือการล้างตับโดยที่ไม่ต้องผ่า ไม่ต้องกินยา สามารถทำได้เองที่บ้านและได้ผลจริง ซึ่งจะช่วยเรื่องสิว ผิวพรรณและโรคต่างๆอีกมากมาย



ภาพก่อนนิ่วที่อยู่ในตับ

การล้างตับ

การล้างตับ (liver flush) เป็นวิธีการที่ง่ายและมีประโยชน์กับร่างกายมาก 90% ของคนเราจะมีนิ่วในถุงน้ำดีและนิ่วในตับ ซึ่งนิ่วพวกนี้จะทำให้ประสิทธิภาพของตับในการดูดซับสารพิษจากอาหารหรือสิ่งที่เข้าไปในร่างกายลดลง เมื่อไม่มีนิ่ว ตับของคุณก็จะดูดซับสารพิษต่างๆที่เข้าไปในร่างกายได้เต็ม 100% จนกระทั่งันเกิดขึ้นมาอีก ไม่เว้นแม้แต่เด็กก็มีเหมือนกัน ถ้าตับของคุณเต็มไปด้วยนิ่วร่างกายก็จะต้องใช้กำลังส่วนอื่นขับมันออกไป ผิวของคุณก็รวมอยู่ในกระบวนการนี้ด้วย นิ่วพวกนี้เกิดจากการกินอาหารที่เป็นพิษกับร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นพิษเข้าไปในร่างกาย รวมทั้งน้ำดื่มที่เราดื่มเข้าไป

ถ้าคุณสามารถกำจัดนิ่วพวกนี้ออกไปจากร่างกาย อวัยวะต่างๆในร่างกายคุณก็จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพรวมทั้งช่วยทำให้ผิวพรรณดูดีขึ้น


ภาพก้อนนิ่วจำนวนมากที่อยู่ในถุงน้ำดี

ได้มีการสำรวจผลจากคนที่เป็นสิวแล้วทำการล้างตับ (liver flushing)

คนที่เป็นสิวเรื้อรัง

-10 ใน 66 คน สิวหาย
-33 ใน 64 คน อาการสิวดีขึ้น

สิวฮอร์โมน

-2 ใน 33 คน สิวหาย
-7 ใน 33 คน อาการสิวดีขึ้น
และอาการอย่างอื่นเช่น ปวดหลัง เรื้อนกวาง และอีกหลายโรคดีขึ้น

สิ่งที่ต้องเตรียม

-น้ำแอปเปิ้ล
-ดีเกลือ(Magnesium sulfate,Epsom salt)
-น้ำมะนาว
-น้ำมันมะกอก
-ผักและผลไม้ที่ชอบ

วิธีการ(มีหลายวิธีในการทำ liver flushing ของที่ใช้ในวิธีนี้สามารถหาได้ในบ้านเรา)

1.ดื่มน้ำแอ๊ปเปิ้ล 2 ถ้วย ทุก 2 ชั่วโมงตลอด 2 วัน
2.ในสองวันนี้ทานเฉพาะผักกับผลไม้
3.ก่อนนอนให้ผสมดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะในน้ำหนึ่งแก้วแล้วกิน พอดื่มเสร็จให้ตามด้วยน้ำมันมะกอกครึ่งถ้วยผสมกับน้ำมะนาว 1 ลูก กินตามลงไป


ภาพเมื่อทำการล้างตับตามขั้นตอนก้อนนิ่วจะออกมาเมื่อเราถ่าย

คุณสมบัติของสิ่งที่เรากินเข้าไป

-น้ำแอ๊ปเปิ้ลอุดมไปด้วยกรด malic ซึ่งจะเข้าไปทำละลายทำให้ก้อนแข็งอ่อนลง
-ดีเกลือ จะช่วยให้กล้ามเนื้อต่างๆผ่อนคลายรวมทั้งช่วยให้ท่อน้ำดีขยายออก ทำให้นิ่วนั้นผ่านออกมาได้
-น้ำมันมะกอกจะช่วยกระตุ้นการขับออกมา

ที่มา

Dr. Hulda Clark absoluteacneinfo.com
Cathy Wong altmedicine.about.com
Dr. Cluade M. Lewis curezone.com
แปลและเรียบเรียงโดย Acnethai.com

อีกหนึ่งวิธีในการทำ Liver flush

สิ่งที่ต้องเตรียม

น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ? ถ้วย
มะนาว 3 ลูก
ดีเกลือ 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาด 3 ถ้วย
**หมายเหตุ 1 ถ้วย = 250 มล.**

ในการล้างทำความสะอาดนี้ ควรทำในวันหยุดเช่นวันเสาร์ เพื่อจะได้หยุดพักต่อในวันถัดไปได้

รับประทานอาหารเช้าและอาหารกลางวันที่ปราศจากไขมันเช่น ซีเรียลกับผลไม้, น้ำผลไม้, ขนมปังและแยมหรือน้ำผึ้ง (ไม่มีนมหรือเนย) มันฝรั่งหรือผักอื่น ๆ นำไปอบปรุงรสด้วยเกลือเท่านั้น จะเป็นการสร้างน้ำดีและเพิ่มแรงดันในตับ ยิ่งมีแรงดันสูงก็จะยิ่งทำให้ก้อนนิ่วหลุดออกมาก

2 โมงเย็น : ห้ามดื่มหรือกินอะไรทั้งสิ้นหลังบ่ายสองโมงเย็นไปแล้ว หากไม่ทำตามกฎอาจมีอาการไม่สบายเล็กน้อยได้ ช่วงเวลานี้ให้เตรียมน้ำดีเกลือเอาไว้ให้พร้อม โดยการผสมดีเกลือ 4 ช้อนโต๊ะ ในน้ำ 3 ถ้วยที่เตรียมเอาไว้ใส่เหยือกหรือภาชนะสำหรับน้ำดื่ม น้ำที่ผสมนี้จะใช้ดื่มได้ 4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะรินเพียง ? ของแก้ว จากนั้นนำน้ำดีเกลือที่ผสมแล้วใส่ตู้เย็น (เพื่อความสะดวกในการใช้ดื่มแต่ละครั้ง และรสชาติที่ดีกว่าดื่มแบบไม่เย็น เท่านั้น)
(สูตรการผสมน้ำดีเกลือนี้สามารถเปลี่ยนจากน้ำสะอาด 3 ถ้วย เป็นน้ำอย่างอื่นแทนได้ เช่นน้ำผลไม้สด หรือน้ำแอ๊ปเปิ้ลสด เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีขึ้น)

6 โมงเย็น : ดื่มน้ำดีเกลือที่ผสมไว้แก้วที่หนึ่ง (3/4 ของแก้ว) ในกรณีที่ไม่ได้เตรียมเอาไว้ตามวิธีการข้างต้น ให้ผสมดีเกลือ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำ ? ของแก้ว โดยอาจเติมผงวิตามินซี 1/8 ของช้อนชา เพิ่มลงไปเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีขึ้น - - หลังจากดื่มน้ำดีเกลือไปหนึ่งแก้วแล้ว ให้เตรียมน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์และน้ำมะนาวไว้ให้พร้อม

ทางเลือกเพิ่มเติม ทางที่ 1: หากลืมดื่มน้ำดีเกลือตอน 6 โมงเย็น ให้ดื่มทีเดียวตอน 2 ทุ่ม แต่อย่างอื่น ๆ ให้คงไว้ตามเดิม ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรอีก หลาย ๆ คนถ่ายก้อนนิ่วออกมาได้แม้ในการดื่มน้ำดีเกลือในปริมาณน้อย ๆ แต่หากยังไม่มีอะไรออกมา ให้ทำเต็มขั้นตอนในครั้งถัดไป

2 ทุ่ม : ดื่มน้ำดีเกลือแก้วที่สอง แม้ว่าจะไม่ได้รับประทานอาหารใด ๆ ตั้งแต่บ่ายสองโมงเย็น แต่ก็จะไม่รู้สึกหิว ให้เตรียมตัวให้พร้อมในขั้นตอนต่อไป

3 ทุ่ม 45 นาที : รินน้ำมันมะกอกบริสุทธ็ ? ถ้วย, ล้างมะนาวทั้ง 3 ลูกให้สะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นบีบมะนาวลงไปในถ้วยอีกใบ แล้วใช้ส้อมเขี่ยเนื้อมะนาวออก จะได้น้ำมะนาวอย่างน้อย ? ถ้วย แล้วนำน้ำมันมะกอกที่ตวงไว้ผสมกับน้ำมะนาวที่บีบไว้ เขย่าให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว

ได้เวลาเข้าห้องน้ำสัก 1-2 ครั้งแล้ว แม้ว่าจะเข้าห้องน้ำบ่อยช่วงนี้ก็จำเป็นต้องเข้า อาจจะใช้เวลาถึง 4 ทุ่ม แต่อย่าให้ช้าเกิน 4 ทุ่ม 15 นาที ไม่อย่างนั้นจะได้ก้อนนิ่วน้อยลงกว่าที่ควร

4 ทุ่ม : ดื่มน้ำมันมะกอกผสมมะนาวที่เตรียมไว้ แล้วเริ่มจิบ หากใช้หลอดดูดก็จะง่ายขึ้น หลังจากดื่มเรียบร้อยแล้วให้รอประมาณ 5 นาที (อาจเป็น 15 นาที ในผู้ที่อายุมากแล้วหรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ) เมื่อดื่มแล้วให้เดินไปที่เตียงนอนให้เร็วที่สุด จากนั้นให้รีบนอนลงทันที หากไม่รีบนอนลงอาจทำให้การกำจัดก้อนนิ่วไม่สำเร็จ ยิ่งรีบนอนลงเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งกำจัดก้อนนิ่วได้มากเท่านั้น โดยนอนหงายหนุนหมอน แล้วลองคิดว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นบ้างในตับเรา พยายามนอนให้นิ่งเช่นนั้นประมาณ 20 นาที จะรู้สึกได้ว่าขบวนก้อนนิ่วเหมือนลูกแก้วกลิ้งอยู่ ลังผ่านไปยังท่อน้ำดี ขณะนี้จะไม่มีความรู้สึกว่าเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากวาล์วท่อน้ำดีกำลังเปิด (เป็นผลมาจากดีเกลือ) ไม่ต้องกังวล แล้วพยายามนอนให้หลับ

เช้าวันต่อมา : เมื่อตื่นนอนแล้วให้ดื่มน้ำดีเกลือที่ผสมเหลือจากเมื่อวัน ถือเป็นแก้วที่สาม หากมีอาการท้องอืดหรือคลื่นไส้ให้รอจนกว่าจะหายจึงค่อยดื่มน้ำดีเกลือ แล้วกลับไปนอนต่อ ห้ามดื่มก่อน 6 โมงเช้า

2 ชั่วโมงต่อมา : ดื่มน้ำดีเกลือแก้วสุดท้าย แล้วกลับไปนอนอีกครั้ง

หลังจากนั้นอีก 2 ชั่วโมง : เริ่มทานน้ำผลไม้ได้, ครึ่งชั่วโมงถัดไปรับประทานผลไม้ได้, หนึ่งชั่วโมงถัดไปทานอาหารปกติได้ แต่ควรทานน้อย ๆ

ทำตามโปรแกรมได้ดีแค่ไหน?

จะมีอาการท้องเสียในตอนเช้า ให้มองหาก้อนสีเขียวซึ่งเป็นก้อนนิ่ว ไม่ใช่อุจจาระ น้ำดีจากตับนั้นจะมีสีเขียว อุจจาระที่ออกมาจะจม แต่ก้อนนิ่วจะลอยเพราะมีคอเลสเตอรอลผสมอยู่ในนิ่วด้วย

ให้ลองนับปริมาณคร่าว ๆ ของก้อนนิ่วที่เจอไม่ว่าจะเป็นก้อนสีเขียวหรือสีน้ำตาล ปกติแล้วจะมีอยู่ประมาณ 2,000 ก้อน หากนับได้ประมาณนี้ก็ถือได้ว่าตับค่อนข้างสะอาดมากพอที่จะทำให้หายจากอาการภูมิแพ้, อาการอักเสบของหัวไหล่ หรืออาการปวดหลังช่วงบนได้อย่างถาวร อาจทำความสะอาดตับได้เป็นช่วง ๆ ห่างกันประมาณ 2 สัปดาห์ และไม่ควรทำเมื่อป่วย

บางครั้งท่อน้ำดีก็เต็มไปด้วยเม็ดคอเลสเตอรอลที่ยังไม่ก่อตัวเป็นก้อนนิ่ว จึงอาจมีลักษณะเหมือนแกลบลอยอยู่ในโถชักโครก อาจมีสีน้ำตาล และอาจมีเม็ดขาวเล็ก ๆ นับล้านอยู่ด้วย การล้างทำความสะอาดเม็ดเล็กขาวและที่มีลักษณะลอยเหมือนแกลบนี้สำคัญเช่นกัน เพื่อจะกำจัดออกไปก่อนที่จะเป็นก้อนนิ่ว

วิธีการทำความสะอาดตับนี้ปลอดภัยมาก ไม่มีใครต้องเข้าโรงพยาบาลจากการทำขั้นตอนเหล่านี้ ไม่มีแม้แต่ความเจ็บปวดให้กล่าวถึง แต่ก็อาจทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายบ้างเล็กน้อย 1-2 วัน

ขั้นตอนเหล่านี้นั้นขัดแย้งกับการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่ เข้าใจกันไปว่าก้อนนิ่วนั้นเกิดขึ้นในถุงน้ำดีไม่ใช่ในตับ คิดว่ามีปริมาณน้อยไม่ถึงหลักพัน ไม่ได้เกิดความเจ็บปวดยกเว้นว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น เพราะเมื่อเวลาที่เจ็บปวดขึ้นมาฉับพลัน จะพบว่ามีก้อนนิ่วบางก้อนนั้นอยู่ในถุงน้ำดีมีขนาดใหญ่พอที่จะมองเห็นได้ด้วยการเอ็กซ์เรย์ และทำให้เกิดการอักเสบบริเวณนั้น เมื่อกำจัดเอาถุงน้ำดีออกไป ความเจ็บปวดดังกล่าวก็หายไป แต่อาการอักเสบที่หัวไหล่และอาการอื่น ๆ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหารนั้นยังคงอยู่

ที่มา

1. Bucci LR, Hickson JF, Wolinsky I, et al. Ornithine supplementation and insulin release in bodybuilders. Int J Sport Nutr 1992;2:287?91.

2. Fogelholm GM, Naveri HK, Kiilavuori KT, et al. Low-dose amino acid supplementation: no effects on serum human growth hormone and insulin in male weightlifters. Int J Sport Nutr 1993;3:290?7.

3. Lambert MI, Hefer JA, Millar RP, et al. Failure of commercial oral amino acid supplements to increase serum growth hormone concentrations in male body-builders. Int J Sport Nutr 1993;3:298?305.

4. Bucci L, Hickson JF et al. Ornithine ingestion and growth hormone release in bodybuilders. Nutr Res 1990;10:239?45.

5. Elam RP, Hardin DH, Sutton RA, et al. Effects of arginine and ornithine on strength, lean body mass and urinary hydroxyproline in adult males. J Sports Med Phys Fitness 1989;29:52?6.

6. Cynober L. place des nouveaux substrats azot?s en nutrition artificielle p?riop?ratoire de l?adulte. Nutr Clin M?tabole 1995;9:113 [in French].

7. Brocker P, Vellas B, Albarede JL, Poynard T. A two-centre, randomized, double-blind trial of ornithine oxoglutarate in 194 elderly, ambulatory, convalescent subjects. Age Ageing 1994;23:303?6.

8. Stauch S, Kircheis G, Adler G, et al. Oral L-ornithine-L-aspartate therapy of chronic hepatic encephalopathy: results of a placebo-controlled double-blind study. J Hepatol 1998;28:856?64.

9. Cynober L. Amino acid metabolism in thermal burns. JPEN 1989;13:196.

10. De Bandt JP, Coudray-Lucas C, Lioret N, et al. A randomized controlled trial of the influence of the mode of enteral ornithine alpha-ketoglutarate administration in burn patients. J Nutr 1998;128:563?9.

11. Zieve L. Conditional deficiencies of ornithine or arginine. J Am Coll Nutr 1986;5:167?76. [review]

แปลและเรียบเรียงโดย Acnethai.com

ยูนิซิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล(UniCity International Inc.)


ยูนิซิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล(UniCity International Inc.)ได้คิดค้นสูตรผลิตภัณฑ์เสริมอาหารขั้นสูง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีล่าสุดทางวิทยาศาสตร์โภชนาการ และการแพทย์มาเป็นเวลากว่า 15 ปีแล้ว UniCity ได้กระจายผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาการที่ก้าวหน้าและปลอดภัยที่สุดสู่คนนับล้านคน ทั่วโลก

โดยมีความ มุ่งมั่นในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์โภชนาการ ยูนิซิตี้อุทิศทุ่มเทในการค้นคว้าวิจัย การศึกษาและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการ ดูแลสุขภาพที่สูงขึ้น UniCity ได้มีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น ดูดีขึ้น และมีชีวิตที่ดีขึ้น ยูนิซิตี้ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในวงการผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งเห็นได้จากการที่ได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ นักโภชนาการ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ อีกทั่วโลก ความโดดเด่นที่แท้จริงของ UniCity เห็นได้ชัดเจนจากการอุทิศทุ่มเทในการพัฒนาและวิจัย ซึ่งสามารถเห็นได้จากการความสัมพันธ์อันดีต่อสถาบันชั้นนำต่างๆ ทั่วโลก

ประวัติบริษัทยูนิซิตี้ (UniCity International)ราก ฐานของบริษัท ยูนิซิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หยั่งลึกกว่าเกือบทุกบริษัทอื่นๆ ในธุรกิจแบบเครือข่ายในโลก UniCity ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2001 จากการควบรวมของสองบริษัทธุรกิจแบบเครือข่ายที่ประสบผลสำเร็จ นั่นคือบริษัท เร็กซ์ซอลล์ โชว์เคส อินเตอร์เนชั่นแนล และบริษัท เอ็นริช อินเตอร์เนชั่นแนล

บริษัท เร็กซ์ซอลล์ ดรัก เริ่มมีแฟรนไชส์ร้านขายยาแห่งแรกและเป็น ฺBrand ที่ได้รับการยอมรับในประเทศสหรัฐอเมริกามากว่า 100 ปี ในช่วงเวลาที่รวมกิจการ บริษัท เร็กซ์ซอลล์ โชว์เคส แผนกธุรกิจเครือข่ายของเร็กซ์ซอลล์ ดำเนินธุรกิจมาได้ 11 ปี ในขณะที่บริษัท เอ็นริช อินเตอร์เนชั่นแนล ดำเนินธุรกิจมาได้ 18 ปี ทั้งสองบริษัทต่างก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำในธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์เพื่อ สุขภาพ ผลิตภัณฑ์ต่อต้านอายุ และตลาดด้านสุขภาพที่สมบูรณ์

UniCity International ได้ขยายอาณาเขตนอกเหนือประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศแคนาดา และปัจจุบันยูนิซิตี้ได้ขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศเวเนซูเอล่า โคลัมเบีย ญี่ปุ่น เกาหลี ตุรกี ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ แม๊กซิโก เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย บรูไน เยอรมัน สวีเดน สหราชอาณาจักร ฮ่องกง ฯ

ด้วย ประวัติที่ยาวนานและประสบการณ์ที่ชำนาญของยูนิซิตี้ ทำให้ Unicity สามารถสร้างแผนผลตอบแทนที่เป็นจริง และอยู่บนพื้นฐานของความรู้ ซึ่งบริษัทในธุรกิจเครือข่ายอื่นไม่สามารถทำได้ พวกเราทุกคนล้วนมีความต้องการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อช่วยเหลือท่านให้ประสบความสำเร็จ

เกี่ยวกับยูนิซิตี้ (About Unicity) 
UniCity International Inc.เป็นบริษัทเพื่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีโดยมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาด้าน วิทยาศาสตร์ โภชนาการ ด้วยความอุทิศทุ่มเทในการค้นคว้าวิจัย การศึกษาและการพัฒนาใหม่ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการ ดูแลสุขภาพที่สูงขึ้น UniCity ได้มีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน โดยการช่วย ให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น ดูดีขึ้น และชีวิตที่ดีขึ้น

UniCity ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในวงการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งเห็นได้ จากการที่ได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ นักโภชนาการนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ อีกทั่วโลก ความโดดเด่นที่แท้จริงของ UniCity เห็นได้ชัดเจนจากการ อุทิศทุ่มเทในการวิจัย ซึ่งปรากฏให้เห็นได้จากการที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสถาบันชั้นนำต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ ดังนี้

Stanford University 
University of Washington 
Stillwater Heart Center 
Vanderbilt University 
Angeles University Foundation Medical Center 
University of Nevada Las Vegas 
The Cleveland Clinic 
University of Texas 
UniCity ยังได้มีส่วนส่งมอบโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้กับทุกๆ คน เพื่อส่งเสริมบุคคลเหล่านั้นให้มีชีวิตที่มีความสุขขึ้น มีสุขภาพที่ดีขึ้น และมีชีวิตที่เพียบพร้อมมากยิ่งขึ้น

คลอโรฟิลล์

คลอโรฟิลล์ จาก อัลฟาฟ่า?

             จากการวิเคราะห์คลอโรฟิลล์จากพืชกว่า 6,000 ชนิด ทั้งจากใต้น้ำถึงบนพื้นดิน พบว่า พืชที่ให้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์และดีที่สุด คือ อัลฟาฟ่า เท่านั้น อัลฟาฟ่า จัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝัก (Legumes) หรือพืชตระกูลถั่ว ใบเลี้ยงคู่และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่ระบบรากของอัลฟาฟ่าสามารถชอนไชลงไปในดินถึงกว่า 130 ฟุต จึงทำให้สามารถหาอาหารได้มีประสิทธิภาพมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ อีกทั้งระบบการป้องกันตัวเอง หรือป้องกันสารพิษในเซลล์ของพืชอัลฟาฟ่าก็ดีกว่าพืชชนิดต่าง ๆ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จากอัลฟาฟ่ามาตั้งแต่ 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาบริโภค จึงถูกขนานนามให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ ?ราชาแห่งอาหารทั้งมวล? ประโยชน์จากต้นอัลฟาฟ่า มักได้จากส่วนใบและลำต้น ซึ่งได้ถูกนำไปใช้สำหรับบำบัดอาการปวดข้อและอักเสบต่าง ๆ เช่น ปวดข้อ (ARTHRITIS) ไปจนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ในตับถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า อัลฟาฟ่า ยังสามารถช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น 

            อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็ฯครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน ลิวซีน ไลซีน เมไธโอนีน พีนิลอะลานีน เทรโอนีน ทริปโตฟาน และวาลีน และพบว่ากรดอะมิโนเหล่านี้ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ นอกจากนี้ในอัลฟาฟ่ายังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี6 ดี อี เค เกลือแร่ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และแคลเซียม 
คลอโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL) เกือบ 100 ปี แห่งการค้นพบ 
คลอโรฟิลล์ คือสารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง (Photosynthesis) โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่ธาตุต่าง ๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของคน จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงาน หรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่า คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกทีหนึ่ง ทำให้ระบบย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากอย่างไรในแต่ละวันก็ตาม อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมัน หรือในบางรูปของแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่าย ไม่สะสมไว้ในร่างกาย ผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหาร แต่จะย่อยและดูดซึมที่ลำไส้เล็ก คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกส่งต่อไปสะสมไว้ที่ตับ (liver) ในระยะเวลาหนึ่ง อาจเกิดอันตรายต่อตับได้ องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้ (WATER SOLUBLE CHLOROPHYLL) เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็มีเพียงอาการท้องเสียอย่างเบาบางกรณีเท่านั้น 

           ด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ดเลือดแดง ต่างกันเฉาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก (Fe) จึงทำให้สีของมันต่างกัน คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียว แต่เม็ดเลือดมีสีแดง จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า ?เลือดของพืช? (Blood of Plant) ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย สรุปตรงกันว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ จนทำให้ผู้วิจัยได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน คือ ดร.ริชาร์ด วินสเตตเตอร์ (DR.RICHARD WINSTATER) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี ค.ศ.1915 และ ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์ (DR.HANS FISHER M.D.) นายแพทย์ชาวเยอรมัน ในปีค.ศ. 1930 ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์ 

ในบางเงื่อนไขสามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก (Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม (Ca) 2Ca-Mg เข้าไปอุดรูพรุนกระดูกต่าง ๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นในโพรงกระดูกซึ่งมีไขกระดูก (Bone Marrow) อยู่ ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มากขึ้น (หน้าที่ของไขกระดูก คือสร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด) จากากรทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐกับผู้ป่วยแผลเปิด จำนวน 3,600 ราย พบว่า คลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25% ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลงกว่า 50% หรือมากกว่า จากกรณีนี้ จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1,227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาและอาหารเสริม ตั้งแต่ วันที่ 11 พฤษภาคม 1990 

    คลอโรฟิลล์ช่วยคุณได้อย่างไร?
จากประสบการณ์ของผู้ใช้-ผู้บริโภคทั่วโลก ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจของคลอโรฟิลล์ ดังนี้ 
- ช่วยให้เลือดสะอาด 
- ช่วยให้ตับสะอาด เสริมการรักษาในผู่ป่วยตับอักเสบ 
- เสริมธาตุเหล็กให้ร่างกาย 
- ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจาการอ่อนเพลีย 
- ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน 
- ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน 
- บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ โรคหืด ผื่นลมพิษ ค่อย ๆ ทุเลาจนหายได้ 
- ขับกรดจากข้อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาและหายได้ 
- ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข้งแรง สดชื่นขึ้น 
- ป้องกันและระงับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง 
- แก้ปัญหาคนท้องผูก ขับถ่ายดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้ 
- ดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า โดยเฉพาะผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าแล้วเหม็น 
- แก้ปัญหาอาการชา บวมและส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้ 
- ชะลอความแก่ ทำให้มีอายุยืน 
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก แผลไฟไหม้ เหงือกอักเสบ แผลในปาก คออักเสบ โดยใช้ผงคลอโรฟิลล์โรยบนแผล จะทำให้แผลหายเร็ว
- บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป ปวดศีรษะไมเกรน 
- ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ ช่วยสมานแผล 
- แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ 
- ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก คลอเรสเตอรอลในเลือด 
- มีผลต่อสุขภาพตาในคนที่เป็นต้อกระจก ทำให้การมองเห็นดีขึ้น 
- มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้เส้นผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง 
- ลดอาการเมาค้าง 
- ได้ทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์ เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์เข้าไปแล้ว ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีระดับภูมิคุ้มกันดีขึ้นเป็นลำดับ